วันอาทิตย์

เทคโนโลยี NFC กำลังจะเปลี่ยนโลกจริงหรือ..?

NFC คืออะไรและกำลังจะเปลี่ยนแปลงโลกยังไงที่นี่มีคำตอบครับ…
NFC (Near Field Communication) เป็นเทคโนโลยีที่คิดค้นกันมาตั้งแต่ปี 2545 และมีความพยายามที่จะนำมาใช้กันอย่างต่อเนื่อง แต่ยังไม่ประสบผลสำเร็จมากนัก มาบัดนี้ NFC ได้กลับมาใหม่อย่างมีนัยสำคัญ จนเชื่อกันว่าน่าจะสร้างความนิยมในเร็ววันนี้ ก็เลยจึงขอใช้โอกาสนี้มาเล่าสู่กันฟังซะเลย

NFC เป็นเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สายที่ใช้เพื่อให้อุปกรณ์สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ง่ายๆ และปลอดภัย โดยที่เรียกว่า Near Field เพราะอุปกรณ์ 2 ชิ้นที่จะสื่อสารกันนั้น จะต้องอยู่ไกล้ๆ กันเรียกว่าห่างกันไม่กี่เซนติเมตร จึงจะสามารถสื่อสารกันได้ ซึ่งหนึ่งในงานหลักของเทคโนโลยีนี้คือ ใช้ในการจ่ายเงินผ่านโทรศัพท์มือถือที่มี NFC อยู่ภายใน โดยในการใช้งานเพียงแต่นำโทรศัพท์ที่มี NFC ไปแตะที่เครื่องอ่านก็จะถือว่าชำระเงินเสร็จสิ้น คล้ายๆ กับบัตรรถไฟใต้ดินที่หลายท่านมีประสบการณ์ในการใช้แล้วว่าเพียงแต่นำบัตรไปแตะที่เครื่องอ่าน ประตูก็จะเปิดให้เราผ่านเข้าไปได้ เพิ่มความสะดวกสะบายให้กับผุ้ใช้มา

ตัวอย่าง ที่สามารถเห็นภาพในเรื่องนี้ได้ เช่น ที่จุดจ่ายเงินของซุปเปอร์มาเก็ต เมื่อคุณทราบยอดเงินที่ต้องจ่ายแล้ว คุณสามารถจ่ายเงินได้ง่ายๆ ด้วยการนำโทรศัพท์มือถือที่มี NFC ออกมาแตะที่เครื่องอ่าน ก็เป็นอันเสร็จสิ้นการจ่าย ไม่ต้องนับเงินสด ไม่ต้องเซ็นชื่อลงบนสลิป ง่ายไหมครับ นอกจากการใช้มือถือที่มี NFC ยังสมารถใช้ในเรื่องอื่นๆ ได้อีกมากมาย เช่น การแลกเปลี่ยนข้อมูลกันระหว่างโทรศัพท์ 2 เครื่อง แทนการแลกนามบัตรซึ่งทำได้โดยนำโทรศัพท์มาแตะกัน ข้อมูลของแต่ละคนจะย้ายเข้าไปอยู่ใน cotact ของโทรศัพท์อีกเครื่อง ไม่ต้องมาเก็บนามบัตรให้ยุ่งยาก หรือใช้ในการส่งรูป ส่งเพลง ส่งวีดีโอ ใช้ในการซื้อตั๋วภาพยนต์ ตั๋วรถไฟ ตั๋วเครื่องบิน ฯลฯ โดยเพียงนำเครื่องมาแตะที่เครื่องอ่าน ก็ถือเป็นอันจบการทำรายการ

มาถึงตรงนี้ คุณเริ่มมีคำถามถึง เรื่องระบบความปลอดภัยกันแล้วใช่ไหมครับ ว่าจะปลอดภัยจากมือดีที่เรียกกันว่า “มือมืด” ไหม เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าข้อมูลของเรา จะไม่ส่งไปยังเครื่องอื่นๆ โดยที่เราไม่ตั้งใจได้หรือไม่ ??
แน่นอนครับว่า คนที่ร่วมกำหนดมาตรฐานของ NFC  ได้คิดเรื่องความปลอดภัยไว้อย่างรอบคอบ ซึ่งมีหลายมาตการที่ได้ทำขึ้นเพื่อให้เกิดความปลอดภัย ซึ่งรวมไปถึงการให้ผู้ใช้ต้องบันทึกเลขหมาย 4 ตัวก่อนจะแลกเปลี่ยนข้อมูล หรือการเปิดระบบให้โอนถ่ายข้อมูลทุกครั้งและระบบจะปิดอัตโนมัติเมื่อโอนข้อมูลจบในแต่ละครั้ง ซึ่งมาตราการเหล่านี้ ถือว่าเพียงพอที่จะใช้ในงานต่างๆ ได้อย่างปลอดภัย และสำหรับสาเหตุที่ NFC จะกลับมาได้รีบความนิยมอย่างแพร่หลายอีกครั้งนั้นอย่างที่หลายคนได้คาดการณ์ไว้นั้นเกิดจากปัจจัยหลัก 2 เรื่อง

เรื่องแรก เกิดจากความนิยมอย่างแพร่หลายของ Smart Phone ที่มีฐานผู้ใช้แล้วหลายล้านเครื่อง โดยตัว Smart Phone ถือเป็นอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับ Internet ตลอดเวลา เมื่อรวมกับความเป็นคอมพิวเตอร์ความสามารถสูงของ Smart Phone ทำให้สามารถนำมาใช้ในงานต่างๆ ได้มากมาย โดยเฉพาะการใช้อุปกรณ์ชำระเงิน

เรื่องที่สอง เกิดจากผลักดันของ Google ที่ได้บรรจุความสามารถในการจัดการ NFC ไว้ใน Android 2.3 ซึ่งทำให้เริ่มมี Smart Phone รุ่นใหม่ๆ ที่ใช้ระบบ Android 2.3 ได้ติดตั้ง NFC เป็นอุปกรณ์มาตรฐานมาพร้อมเครื่อง ซึ่งการที่ระบบปฏิบัติการ Android  มีการสนับสนุน NFC ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลได้อย่างง่ายดาย  ซึ่งทำให้มีโปรแกรมที่ใช้ความสามารถของ NFC ออกมาให้ใช้กันอีก ซึ่งในแง่ Google เอง ก้เริ่มทดลองให้บริการชำระเงินผ่าน Smart Phone ออกมาแล้วโดยเรียกว่า Google Wallet ซึ่งเป็นบริการที่ทำให้ผู้ใช้ สามารถใช้ Smart Phone ในการจ่ายเงินแทนบัตรเครดิต, ใช้ Smart Phone ในการสะสมคะแนนต่างๆ รวมไปถึงการแลกแต้มต่างๆ ผ่าน Smart Phone ระบบ andriod โดยเพียงแต่นำโทรศัพท์ไปแตะบนจุดจ่ายเงิน Pay Pass ของ MasterCard ที่มีอยู่กว่า 300000 จุด ก้ถือเป็นอันจบการทำรายการ ซึ่งเมื่อ Google เป็นผู้ผลักดันหลัก และได้ MasterCard มาร่วมสนับสนุนพร้อมกับอีกหลายหน่วยงานและประโยชน์ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกสะบายในอนาคตอันไกล้นี้แน่นอนครับ ปัจจุบันมี Smart Phone หลายรุ่นที่เริ่มจำหน่ายแล้ว โดยมี NFC เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน เช่น samsung Galaxy S II, BlackBerry Bold 9900, BlackBerry Torch 9810 รวมทั้งมีการคาดการณ์ว่า iPhone 5 ของ Apple ก็จะมี  NFC  ติดตั้งมาเป็นมาตรฐานเช่นกัน ซึ่งเชื่อว่าหลังจากนี้ Smart Phone หลายๆ รุ่นจะมี NFC ติดตั้งมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ดังนั้นเราควรจะเตรียมตัวพร้อมที่จะก้าวตามเทคโนโลยีที่กำลังมาแรงตัวนี้ไว้ให้พร้อม….

 

ที่มา: http://www.freethaiarticle.com/%e0%b9%80%e0%b8%97%e0%b8%84%e0%b9%82%e0%b8%99%e0%b9%82%e0%b8%a5%e0%b8%a2%e0%b8%b5-nfc-%e0%b8%81%e0%b8%b3%e0%b8%a5%e0%b8%b1%e0%b8%87%e0%b8%88%e0%b8%b0%e0%b9%80%e0%b8%9b%e0%b8%a5%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b8%a2%e0%b8%99%e0%b9%82%e0%b8%a5%e0%b8%81%e0%b8%88%e0%b8%a3%e0%b8%b4%e0%b8%87%e0%b8%ab%e0%b8%a3%e0%b8%b7%e0%b8%ad.html

ขอบคุณเจ้าของบทความครับ http://kreathapat.blogspot.com
สวัสดีอีกครั้งครับ วันนี้เอาเรื่องราวของขนมแบบไทยๆมาเล่าสู่กันฟัง ลอดช่องสิงคโปร์ ทำไมจึงเรียกเช่นนี้ รึว่าขนมนี้ มีถิ่นกำเนิดมาจากสิงคโปร์ เชิญอ่านครับ
      
         ลอดช่องสิงคโปร์หรือเซนดอล (Cendol; /ˈtʃɛndɒl/) เป็นขนมพื้นบ้านที่มีจุดกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นที่นิยมในอินโดนีเซีย  มาเลเซีย  พม่า  เวียดนาม และสิงคโปร์
ส่วนสาเหตุที่ในประเทศไทยใช้ชื่อว่า "ลอดช่องสิงคโปร์" นั้น มาจากการที่ใน พ.ศ. 2504 ร้านลอดช่องร้านแรกในประเทศไทย ตั้งอยู่ที่หน้าโรงภาพยนตร์สิงคโปร์หรือโรงหนังเฉลิมบุรี บนถนนเยาวราช เมื่อผู้คนไปทานจึงมักจะเรียกว่า "ลอดช่องหน้าโรงหนังสิงคโปร์" จนในที่สุดตัดทอนเหลือแต่เพียง
 "ลอดช่องสิงคโปร์"
         


ส่วนผสมทั่วไปของลอดช่องสิงคโปร์คือกะทิ แป้งปั้นเป็นรูปแท่งใส่สีเขียว โดยปกติมาจากใบเตย น้ำแข็งปั่นและน้ำตาลมะพร้าว ส่วนผสมเพิ่มอื่นๆได้แก่ ถั่วแดง ข้าวเหนียว เฉาก๊วย ในซุนดา ลอดช่องสิงคโปร์เป็นขนมทำจากแป้งหรือสาคูปั้น เป็นแท่ง กินกับกะทิและน้ำเชื่อมจากน้ำตาลของต้นหมาก ไม่ใส่น้ำแข็ง ในภาษาชวา เซนดอล หมายถึงส่วนที่เป็นแป้งสีเขียวเท่านั้น ถ้านำเซนดอลมารวมกับน้ำตาลมะพร้าว และ กระทิจะเรียก ดาเวต ดาเวตที่นิยมมากที่สุดคือ เอส ดาเวตในชวากลาง ด้วยอิทธิพลจากสิงคโปร์ และอาหารตะวันตก ทำให้มีลอดช่องสิงคโปร์รูปแบบแปลกๆ เช่น กินกับไอศกรีมวานิลลาหรือทุเรียน

การจำหน่าย 

เซนดอลเป็นขนมที่นิยมทั่วไปในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และนิยมขายทั้งในศูนย์อาหาร ข้างถนนและที่อื่นๆ 
ลอดช่องสิงคโปร์หรือดาเวตดั้งเดิมไม่กินกับน้ำแข็ง แต่เมื่อเทคโนโลยีเข้ามาทำให้มีเซนดอลเย็นกินกับน้ำแข็ง (เอส เซอรัต) เป็นไปได้ว่าในแต่ละประเทศมีสูตรเฉพาะของตนเอง โดยเฉพาะเมืองเก่าของมาเลเซีย เช่น มะละกา ปีนัง และกัวลาลัมเปอร์

http://kreathapat.blogspot.com