วันเสาร์

  สวัสดี อีกครั้งครับ มนุษย์เงินเดือนอย่างพวกเราก็อาศัยรายได้จากเงินเดือนเพื่อนำมาใช้จ่ายแก่ปัจจัย 4 ทั้งหลาย ทุกคนก็ฝันอยากจะรวยกันทั้งนั้นแหละครับ บางคนมีโอกาส(มีทุน)ก็สามารถร่ำรวยได้ แต่ใช่ว่าโอกาสจะมีได้กันทุกคน แต่โอกาสโดนชวนเข้ากลุ่ม MLM.มีมากโข555 วันนี้มาเกริ่นให้เหล่ามนุษย์เงินเดือนทุกท่านฟัง สนใจก็สมัคร ไม่สนใจก็ผ่านครับไม่มีการบังคับ 
  โชค ของคนเราใช่ว่าจะดีแบบสมบูรณ์สุดๆนะครับ คำว่า เฮง โอกาสเกิดมีน้อยมาก ถ้าเรามาร่วมกลุ่มกันมากขึ้นความเฮงมันอาจจะเกิดขึ้นในกลุ่มของเราก็ได้ อยากจะชวนเพื่อนๆมาร่วมกลุ่มเล่น Lotto ของประเทศ แคนาดากันครับ บางที่ฝันของเราจะเป็นความจริงครับ
เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกรุ๊ปวันนี้เลยครับ


        ที่สำคัญคือ อย่าถูกหลอกนะครับ ล๊อตโตไม่ว่าจะของประเทศไหน คนที่มีสิทธิ์ถูกรางวัลคือพลเมืองของประเทศนั้น นี่เป็นกติกาพื้นฐานครับ อย่าไปเชื่ออีเมล์หลอก ที่ส่งกันในเน็ต 
        วันนี้ผมชวนคนไทย มาเล่นหวยแคนาดาครับ ผมมีสิทธิ์ถูก และรับรางวัลตามกฎหมายแคนาดา เพราะเป็นผู้อยู่อาศัยถาวร (Permanent Resident) แต่จะเป็นการเล่นที่มีโอกาสถูกรางวัลมากขึ้น ที่เรียกว่า กรุ๊ปเพลย์ (Group Play) ครับ 
        ชีวิตคนเรา ไม่ว่าคุณ หรือผม เราต้องเลือกอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นมา จนเข้านอน ถูกบ้าง ผิดบ้าง ใครละจะเลือกถูก ตลอดเวลา    
        เข้าเรื่องล๊อตโตครับ การซื้อล๊อตโต ส่วนตัวแล้ว ผมว่ามันเป็น โชค (Luck) ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องราว ทางสถิติ หรือ ทางวิทยาศาสตร์ มากนักหรอกครับ ดังนั้น เวลาเห็นโฆษณาตามอินเตอร์เน็ต ขายโปรแกรมเลือกเลขล๊อตโต, โปรแกรมที่ทำให้คุณชนะสล๊อตแมชชีน และโปรแกรมอะไรก็ตาม ที่สามารถเพิ่มโชค ให้คุณได้ ผมจะไม่สนใจมันเลย และผมแนะนำคุณที่เข้ามาอ่านบทความของผมอย่างเดียวกันว่า อย่าไปสนใจมันเลย 
         สำหรับคนเล่นล๊อตโต มันจะมีคำอยู่ 2 คำคือ
  ฮ็อตนัมเบอร์ (Hot Number) มันคือตัวเลขที่ออกบ่อยๆ 
  และ โคลด์นัมเบอร์ (Cold Number) มันคือตัวเลขที่ไม่ค่อยจะออก 
ทั้งนี้การพิจารณาว่าตัวเลขไหนฮ็อต หรือ โคลด์ ก็ใช้วิธีการทางสถิติธรรมดา ที่เราเรียนๆ กันตอนมัธยมปลายครับ ไม่ได้มีวิธีพิศดารอะไร ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เมจิกนัมเบอร์อะไร ถ้ามีใครรู้ว่าล๊อตโตมันจะออกเลขอะไร เขาคงซื้อเองไปแล้วละครับ ไม่มานั่งขายโปรแกรมราคาไม่กี่พันบาท หรืออย่างการวิเคราะห์ว่า มันเคยออกเลขซ้ำกับครั้งที่ผ่านๆ มา อย่างล๊อตโต649 ออกรางวัลมาตั้งแต่ 6 ธันวาคม 1982 ถึงวันนี้ก็ออกรางวัลไป 3,073 ครั้งแล้ว ถ้าตัดออกจากความน่าจะเป็นที่คุณจะถูกรางวัลแจ็คพอต คือ 1 ใน 13,983,816 หากลบเลขที่มันไม่ควรจะออกตามที่เขาวิเคราะห์กัน ก็จะเหลือ 1 ใน 13,980,743 ต่างกันมั๊ยครับ



ผลการออกรางวัลงวดที่ผ่านมา งวดไหนไม่มีคนถูกรางวัลจะทบไปงวดต่อไปนะครับ



   ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน สนใจสมัครเข้าร่วมได้  ที่นี่ครับ คลิ๊กเลย
 http://kreathapat.blogspot.com

วันอาทิตย์

เทคโนโลยี NFC กำลังจะเปลี่ยนโลกจริงหรือ..?

NFC คืออะไรและกำลังจะเปลี่ยนแปลงโลกยังไงที่นี่มีคำตอบครับ…
NFC (Near Field Communication) เป็นเทคโนโลยีที่คิดค้นกันมาตั้งแต่ปี 2545 และมีความพยายามที่จะนำมาใช้กันอย่างต่อเนื่อง แต่ยังไม่ประสบผลสำเร็จมากนัก มาบัดนี้ NFC ได้กลับมาใหม่อย่างมีนัยสำคัญ จนเชื่อกันว่าน่าจะสร้างความนิยมในเร็ววันนี้ ก็เลยจึงขอใช้โอกาสนี้มาเล่าสู่กันฟังซะเลย

NFC เป็นเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สายที่ใช้เพื่อให้อุปกรณ์สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ง่ายๆ และปลอดภัย โดยที่เรียกว่า Near Field เพราะอุปกรณ์ 2 ชิ้นที่จะสื่อสารกันนั้น จะต้องอยู่ไกล้ๆ กันเรียกว่าห่างกันไม่กี่เซนติเมตร จึงจะสามารถสื่อสารกันได้ ซึ่งหนึ่งในงานหลักของเทคโนโลยีนี้คือ ใช้ในการจ่ายเงินผ่านโทรศัพท์มือถือที่มี NFC อยู่ภายใน โดยในการใช้งานเพียงแต่นำโทรศัพท์ที่มี NFC ไปแตะที่เครื่องอ่านก็จะถือว่าชำระเงินเสร็จสิ้น คล้ายๆ กับบัตรรถไฟใต้ดินที่หลายท่านมีประสบการณ์ในการใช้แล้วว่าเพียงแต่นำบัตรไปแตะที่เครื่องอ่าน ประตูก็จะเปิดให้เราผ่านเข้าไปได้ เพิ่มความสะดวกสะบายให้กับผุ้ใช้มา

ตัวอย่าง ที่สามารถเห็นภาพในเรื่องนี้ได้ เช่น ที่จุดจ่ายเงินของซุปเปอร์มาเก็ต เมื่อคุณทราบยอดเงินที่ต้องจ่ายแล้ว คุณสามารถจ่ายเงินได้ง่ายๆ ด้วยการนำโทรศัพท์มือถือที่มี NFC ออกมาแตะที่เครื่องอ่าน ก็เป็นอันเสร็จสิ้นการจ่าย ไม่ต้องนับเงินสด ไม่ต้องเซ็นชื่อลงบนสลิป ง่ายไหมครับ นอกจากการใช้มือถือที่มี NFC ยังสมารถใช้ในเรื่องอื่นๆ ได้อีกมากมาย เช่น การแลกเปลี่ยนข้อมูลกันระหว่างโทรศัพท์ 2 เครื่อง แทนการแลกนามบัตรซึ่งทำได้โดยนำโทรศัพท์มาแตะกัน ข้อมูลของแต่ละคนจะย้ายเข้าไปอยู่ใน cotact ของโทรศัพท์อีกเครื่อง ไม่ต้องมาเก็บนามบัตรให้ยุ่งยาก หรือใช้ในการส่งรูป ส่งเพลง ส่งวีดีโอ ใช้ในการซื้อตั๋วภาพยนต์ ตั๋วรถไฟ ตั๋วเครื่องบิน ฯลฯ โดยเพียงนำเครื่องมาแตะที่เครื่องอ่าน ก็ถือเป็นอันจบการทำรายการ

มาถึงตรงนี้ คุณเริ่มมีคำถามถึง เรื่องระบบความปลอดภัยกันแล้วใช่ไหมครับ ว่าจะปลอดภัยจากมือดีที่เรียกกันว่า “มือมืด” ไหม เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าข้อมูลของเรา จะไม่ส่งไปยังเครื่องอื่นๆ โดยที่เราไม่ตั้งใจได้หรือไม่ ??
แน่นอนครับว่า คนที่ร่วมกำหนดมาตรฐานของ NFC  ได้คิดเรื่องความปลอดภัยไว้อย่างรอบคอบ ซึ่งมีหลายมาตการที่ได้ทำขึ้นเพื่อให้เกิดความปลอดภัย ซึ่งรวมไปถึงการให้ผู้ใช้ต้องบันทึกเลขหมาย 4 ตัวก่อนจะแลกเปลี่ยนข้อมูล หรือการเปิดระบบให้โอนถ่ายข้อมูลทุกครั้งและระบบจะปิดอัตโนมัติเมื่อโอนข้อมูลจบในแต่ละครั้ง ซึ่งมาตราการเหล่านี้ ถือว่าเพียงพอที่จะใช้ในงานต่างๆ ได้อย่างปลอดภัย และสำหรับสาเหตุที่ NFC จะกลับมาได้รีบความนิยมอย่างแพร่หลายอีกครั้งนั้นอย่างที่หลายคนได้คาดการณ์ไว้นั้นเกิดจากปัจจัยหลัก 2 เรื่อง

เรื่องแรก เกิดจากความนิยมอย่างแพร่หลายของ Smart Phone ที่มีฐานผู้ใช้แล้วหลายล้านเครื่อง โดยตัว Smart Phone ถือเป็นอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับ Internet ตลอดเวลา เมื่อรวมกับความเป็นคอมพิวเตอร์ความสามารถสูงของ Smart Phone ทำให้สามารถนำมาใช้ในงานต่างๆ ได้มากมาย โดยเฉพาะการใช้อุปกรณ์ชำระเงิน

เรื่องที่สอง เกิดจากผลักดันของ Google ที่ได้บรรจุความสามารถในการจัดการ NFC ไว้ใน Android 2.3 ซึ่งทำให้เริ่มมี Smart Phone รุ่นใหม่ๆ ที่ใช้ระบบ Android 2.3 ได้ติดตั้ง NFC เป็นอุปกรณ์มาตรฐานมาพร้อมเครื่อง ซึ่งการที่ระบบปฏิบัติการ Android  มีการสนับสนุน NFC ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลได้อย่างง่ายดาย  ซึ่งทำให้มีโปรแกรมที่ใช้ความสามารถของ NFC ออกมาให้ใช้กันอีก ซึ่งในแง่ Google เอง ก้เริ่มทดลองให้บริการชำระเงินผ่าน Smart Phone ออกมาแล้วโดยเรียกว่า Google Wallet ซึ่งเป็นบริการที่ทำให้ผู้ใช้ สามารถใช้ Smart Phone ในการจ่ายเงินแทนบัตรเครดิต, ใช้ Smart Phone ในการสะสมคะแนนต่างๆ รวมไปถึงการแลกแต้มต่างๆ ผ่าน Smart Phone ระบบ andriod โดยเพียงแต่นำโทรศัพท์ไปแตะบนจุดจ่ายเงิน Pay Pass ของ MasterCard ที่มีอยู่กว่า 300000 จุด ก้ถือเป็นอันจบการทำรายการ ซึ่งเมื่อ Google เป็นผู้ผลักดันหลัก และได้ MasterCard มาร่วมสนับสนุนพร้อมกับอีกหลายหน่วยงานและประโยชน์ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกสะบายในอนาคตอันไกล้นี้แน่นอนครับ ปัจจุบันมี Smart Phone หลายรุ่นที่เริ่มจำหน่ายแล้ว โดยมี NFC เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน เช่น samsung Galaxy S II, BlackBerry Bold 9900, BlackBerry Torch 9810 รวมทั้งมีการคาดการณ์ว่า iPhone 5 ของ Apple ก็จะมี  NFC  ติดตั้งมาเป็นมาตรฐานเช่นกัน ซึ่งเชื่อว่าหลังจากนี้ Smart Phone หลายๆ รุ่นจะมี NFC ติดตั้งมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ดังนั้นเราควรจะเตรียมตัวพร้อมที่จะก้าวตามเทคโนโลยีที่กำลังมาแรงตัวนี้ไว้ให้พร้อม….

 

ที่มา: http://www.freethaiarticle.com/%e0%b9%80%e0%b8%97%e0%b8%84%e0%b9%82%e0%b8%99%e0%b9%82%e0%b8%a5%e0%b8%a2%e0%b8%b5-nfc-%e0%b8%81%e0%b8%b3%e0%b8%a5%e0%b8%b1%e0%b8%87%e0%b8%88%e0%b8%b0%e0%b9%80%e0%b8%9b%e0%b8%a5%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b8%a2%e0%b8%99%e0%b9%82%e0%b8%a5%e0%b8%81%e0%b8%88%e0%b8%a3%e0%b8%b4%e0%b8%87%e0%b8%ab%e0%b8%a3%e0%b8%b7%e0%b8%ad.html

ขอบคุณเจ้าของบทความครับ http://kreathapat.blogspot.com
สวัสดีอีกครั้งครับ วันนี้เอาเรื่องราวของขนมแบบไทยๆมาเล่าสู่กันฟัง ลอดช่องสิงคโปร์ ทำไมจึงเรียกเช่นนี้ รึว่าขนมนี้ มีถิ่นกำเนิดมาจากสิงคโปร์ เชิญอ่านครับ
      
         ลอดช่องสิงคโปร์หรือเซนดอล (Cendol; /ˈtʃɛndɒl/) เป็นขนมพื้นบ้านที่มีจุดกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นที่นิยมในอินโดนีเซีย  มาเลเซีย  พม่า  เวียดนาม และสิงคโปร์
ส่วนสาเหตุที่ในประเทศไทยใช้ชื่อว่า "ลอดช่องสิงคโปร์" นั้น มาจากการที่ใน พ.ศ. 2504 ร้านลอดช่องร้านแรกในประเทศไทย ตั้งอยู่ที่หน้าโรงภาพยนตร์สิงคโปร์หรือโรงหนังเฉลิมบุรี บนถนนเยาวราช เมื่อผู้คนไปทานจึงมักจะเรียกว่า "ลอดช่องหน้าโรงหนังสิงคโปร์" จนในที่สุดตัดทอนเหลือแต่เพียง
 "ลอดช่องสิงคโปร์"
         


ส่วนผสมทั่วไปของลอดช่องสิงคโปร์คือกะทิ แป้งปั้นเป็นรูปแท่งใส่สีเขียว โดยปกติมาจากใบเตย น้ำแข็งปั่นและน้ำตาลมะพร้าว ส่วนผสมเพิ่มอื่นๆได้แก่ ถั่วแดง ข้าวเหนียว เฉาก๊วย ในซุนดา ลอดช่องสิงคโปร์เป็นขนมทำจากแป้งหรือสาคูปั้น เป็นแท่ง กินกับกะทิและน้ำเชื่อมจากน้ำตาลของต้นหมาก ไม่ใส่น้ำแข็ง ในภาษาชวา เซนดอล หมายถึงส่วนที่เป็นแป้งสีเขียวเท่านั้น ถ้านำเซนดอลมารวมกับน้ำตาลมะพร้าว และ กระทิจะเรียก ดาเวต ดาเวตที่นิยมมากที่สุดคือ เอส ดาเวตในชวากลาง ด้วยอิทธิพลจากสิงคโปร์ และอาหารตะวันตก ทำให้มีลอดช่องสิงคโปร์รูปแบบแปลกๆ เช่น กินกับไอศกรีมวานิลลาหรือทุเรียน

การจำหน่าย 

เซนดอลเป็นขนมที่นิยมทั่วไปในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และนิยมขายทั้งในศูนย์อาหาร ข้างถนนและที่อื่นๆ 
ลอดช่องสิงคโปร์หรือดาเวตดั้งเดิมไม่กินกับน้ำแข็ง แต่เมื่อเทคโนโลยีเข้ามาทำให้มีเซนดอลเย็นกินกับน้ำแข็ง (เอส เซอรัต) เป็นไปได้ว่าในแต่ละประเทศมีสูตรเฉพาะของตนเอง โดยเฉพาะเมืองเก่าของมาเลเซีย เช่น มะละกา ปีนัง และกัวลาลัมเปอร์

http://kreathapat.blogspot.com

วันจันทร์

ไอศครีม

สวัสดีเพื่อนทุกๆคนวันนี้มีเรื่องราวเกี่ยวกับของหวานเย็นๆ ทานแล้วชื่นใจทุกเพศทุกวัยทานได้ ไอศครีมครับ อยากรู้ว่าประวัติมันเข้ามาสู่เมืองไทยเมื่อไรเชิญครับ

ต้นกำเนิดของไอศกรีมนั้น ไม่เป็นที่แน่ชัดมาเริ่มจากไหน บางข้อมูลก็ว่าเริ่มมีมาตั้งแต่สมัยจักรพรรดิเนโรแห่งอาณาจักรโรมัน ที่ได้มีการพระราชทานเลี้ยงไอศกรีมทหาร โดยในสมัยนั้นทำจากเกล็ดน้ำแข็ง (หิมะ) ผสมน้ำผึ้งและผลไม้ ซึ่งคล้ายกับไอศกรีมเชอร์เบตในปัจจุบัน แต่บ้างก็ว่ามาจากประเทศจีน เกิดจากเมื่อสมัยโบราณที่นมถือเป็นของหายาก จึงได้มีการคิดวิธีเก็บรักษาโดยการเอาไปฝังในหิมะ จึงเกิดเป็นไอศกรีมขึ้น แม้จะไม่ได้มีลักษณะเหมือนกับไอศกรีมอย่างทุกวันนี้

แต่บ้างก็ว่ามาจากอิตาลีโดยมาร์โค โปโล กลับจากจีนแล้วเอาสูตรไอศกรีมมาเผยแพร่ ซึ่งในตอนนั้นไอศกรีมของจีนยังไม่มีนม เป็นคล้ายน้ำแข็งไสมากกว่า ยังมีจุดเริ่มต้นจากอังกฤษเมื่อสมัยพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 พ่อครัวคนหนึ่งมีสูตรเด็ดเป็นครีมแช่แข็งปรุงรส ซึ่งเป็นสูตรลับสุดยอดที่ส่งเป็นของหวานถวายพระองค์ ทว่าเมื่อพระองค์ถูกปลงพระชนม์โดยโอลิเวอร์ ครอมเวลล์ ระหว่างสงครามกลางเมืองอังกฤษระหว่างปี ค.ศ. 1642-ค.ศ. 1651 พ่อครัวต้องลี้ภัยไปยุโรปจึงได้นำสูตรไอศกรีมนี้เผยแพร่ออกไป

              ในประเทศไทยนั้น ไอศกรีมเริ่มเข้ามาในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นหนึ่งในวัฒนธรรมตะวันตกที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงนำมาเผยแพร่ในสยาม หลังเสร็จประพาสอินเดีย, ชวาและสิงคโปร์ น้ำแข็งในตอนแรก ๆ ก็ยังไม่สามารถผลิตในประเทศได้ จึงต้องนำเข้าจากประเทศสิงคโปร์ เมื่อไทยสั่งเครื่องทำน้ำแข็งเข้ามาก็เริ่มมีการทำไอศกรีมกินกันมากขึ้น ถือว่าไอศกรีมเป็นของเสวยเฉพาะสำหรับเจ้าขุนมูลนายเท่านั้น ซึ่งสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพบันทึกไว้ว่า

"ไอศกรีมเป็นของที่วิเศษในเวลานั้น เพราะเพิ่งได้เครื่องทำน้ำแข็งอย่างเล็กที่เขาทำกันตามบ้านเข้ามา ทำบางวันน้ำก็แข็งบางวันก็ไม่แข็ง มีไอศกรีมบ้างบางวันก็ไม่มี จึงเห็นเป็นของวิเศษ"

โดยไอศกรีมในพระราชวังนั้นจะทำจากน้ำมะพร้าวอ่อน ใส่เม็ดมะขามคั่ว จนต่อมาเมื่อมีโรงงานทำน้ำแข็ง แต่ก็ยังถือเป็นของชั้นดี โดยมีไอศกรีมระดับชาวบ้านทำเองด้วย ในช่วงแรก ๆ นั้นไอศกรีมกะทิมีลักษณะเป็นน้ำแข็งละเอียดใส ๆ รสหวานไม่มาก และมีกลิ่นหอมของดอกนมแมว ในสมัยนั้นวิถีการกินของผู้คนจะนิยมกินอาหารกันในเรือนแพ เหมือนที่สมัยนั้นจะขายก๋วยเตี๋ยว หรือกาแฟกันบนเรือ

ลักษณะของไอศกรีมกะทิใส่ถ้วยพร้อมโรยด้วยถั่วลิสงคั่วก็มีมาตั้งแต่สมัยนั้น ซึ่งต่อมาไอศกรีมกะทิก็มีการเปลี่ยนแปลงพัฒนาขึ้น จากกะทิใส ๆ ก็มีความเข้มข้น มีการใส่ลอดช่อง, เม็ดแมงลัก และขนุนฉีกเข้าไป โดยคนไทยได้ดัดแปลงไอศกรีมของต่างชาติมาเป็นไอติมกะทิ โดยใช้กะทิสดผสมกับน้ำตาลนำไปปั่นให้แข็ง เนื้อไอติมค่อนข้างใสเป็นเกล็ดน้ำแข็งละเอียด เวลารับประทานต้องขูดไอติมออกจากขอบหม้อโลหะเมื่อไอติมเริ่มแข็งตัว ตอนขายตักใส่ถ้วยเป็นลูก ๆ เรียกไอติมตัก กินกับถั่ว ข้าวเหนียว หรือลูกชิด บางคนกินกับขนมปังที่หั่นเป็นท่อน และมีรอยแยกเป็นร่องอยู่ตรงกลาง


ส่วน ไอศกรีมหลอด หรือไอศกรีมแท่งก็เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 7 โดยใช้น้ำหวานใส่หลอดสังกะสีและเขย่าให้แข็ง และมีก้านไม้เสียบ โดยจะใส่ถังขับไปขายตามถนน สั่นกระดิ่งเป็นสัญญาณเพื่อเรียกลูกค้า นอกจากนี้ยังมีจุดขายที่การลุ้นไอศกรีมฟรีจากไม้เสียบที่หากมีสีแดงป้ายอยู่ก็จะได้กินฟรีอีกหนึ่งแท่งด้วย ซึ่งไอศกรีมแบบหลอดก็มีการพัฒนาจนมาเป็นไอศกรีมโบราณที่มีส่วนผสมของนมโดยมีลักษณะเป็นแท่งสี่เหลี่ยม อาจทานเป็นแท่ง หรือตัดใส่ถ้วยรับประทานก็ได้

จากนั้นมาก็เป็นยุคของไอศกรีมแบบวัฒนธรรมตะวันตกแท้ ๆ จนถึงปัจจุบัน



http://kreathapat.blogspot.com

18 วิธีรักษ์สุขภาพ




       วันนี้ขอนำบทความดีๆ จากฟอร์เวิล์ด เมลล์ในเรื่องของการดูแลสุขภาพ หลังจากที่ต้องทำงานหนักมาเป็นเวลานานมาแบ่งปันกัน
      
       ซึ่งหากขึ้นชื่อว่าสุขภาพแล้ว ชื่อว่าหลายๆ คนคงปรารถนาที่จะมีสุขภาพร่ายกายแข็งแรง ไม่เจ็บไม่ไข้ แต่ทว่าจะมีวิธีไหนบ้างนั้นลองมาดูกัน
      
       1. แอปเปิ้ล แตงโม กล้วย กีวี ต้องระวัง
       
ผลไม้ทั้ง 3 ชนิดนี้มีประโยชน์มาก แต่ถ้าคุณกำลังทานยาปฏิชีวนะอยู่ ผลไม้พวกนี้จะกลายเป็นโทษทันที เพราะมันบูดในลำไส้ได้ง่าย อาจจะทำให้เกิดอาการอักเสบในระบบทางเดินอาหารได้
      
       2. ผลไม้กับมื้ออาหาร
       ก่อนทานอาหารควรจะเรียกน้ำย่อยด้วยสับปะรดและมะละกอสัก 2-3 ชิ้น ผลไม้สองชนิดนี้ มีเอนไซม์ที่จะช่วยให้กระเพาะย่อยอาหารมื้อหลักที่กำลังจะตามลงมาได้ง่ายขึ้น และหลังจากจบมื้ออร่อยแล้ว ควรตบท้ายด้วยแอปเปิ้ลสัก 1 ชิ้น เพื่อช่วยเพิ่มปริมาณน้ำลาย ซึ่งจะทำให้จำนวนแบคทีเรียในช่องปากลดลง และช่วยให้เหงือกแข็งแรงด้วย
      
       3. อย่าปล่อยให้หิว
       ควรจะทานอาหารให้ตรงเวลาทุกวัน แม้จะยังไม่รู้สึกหิวก็ตาม เพราะเวลาที่เราหิวร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนความเครียดออกมา ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้เป็นประจำ ก็จะทำให้คุณกลายเป็นสาวเครียด และนำไปสู่อาการความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือเบาหวาน


   4. เนื้อสัตว์กับผลไม้ไม่เข้ากัน
   ถ้าทานน้อยๆ ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามื้อไหนคุณทานเนื้อเป็นจำนวนมาก แล้วควรจะงดผลไม้ไป เพราะกว่าเนื้อจะย่อยหมดต้องใช้เวลานาน ส่าวนผลไม้ซึ่งย่อยเร็วจะถูกกักอยู่ในกระเพาะ จึงทำให้เกิดกรดในกระเพาะอาหารได้
      
       5. นาฬิกาชีวภาพ
       หลักการสุขภาพดีบอกไว้ว่า เราควรจะเข้านอนในเวลาเดียวกันทุกๆ วัน แต่ส่วนใหญ่พอถึงคืนวันศุกร์กับวันเสาร์เรามักจะนอนดึก เพราะถือว่าเป็นวันหยุด การทำอย่างนี้ จะทำให้ความเคยชินหรือที่เรียกว่าชีวภาพของร่างกายรวนเร จึงไม่ต้องแปลกใจเลยที่วันจันทร์เราจะง่วงนอนกว่าปกติ
      
       6. ความเครียดทำลายผิว
       
ถ้าอยากผิวสวย แก่ช้า ดูอ่อนกว่าวัย สิ่งแรกที่ต้องปรับคือ ความคิดของตัวเราเอง พยายามคิดในทางบวก มองโลกในแง่ดี หลีกเลี่ยงความคิดที่ทำให้ตึงเครียด เพื่อไม่ให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนความเครียดออกทำลายตัวเราเอง
      
       7. หลีกเลี่ยงภาชนะพลาสติก
       
เพราะความร้อนรวมทั้งรสชาติเผ็ดเปรี้ยว เค็ม จากอาหาร สามารถเข้าไปกัดเซาะสารสังเคราะห์ในพลาสติกให้ละลายออกปะปนกับอาหารได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะการใช้ภาชนะพลาสติกใส่อาหารเข้าอุ่นในเตาไมโครเวฟยิ่งเป็นสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง เพราะเป็นการเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมเป็นอย่างมาก
      
       8. อย่าประมาทอาการไอเรื้อรัง
       
หลังจากหายหวัดแล้ว อาการไออาจจะยังไม่หายไป แต่สาวหลายคนมักจะไม่สนใจ เพราะคิดว่าอาการไอเป็นเรื่องชิลๆ แต่ที่จริงอาการไอเรื้อรังร้ายแรงกว่าที่คุณคิด เพราะมันอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัส ยาปฏิชีวนะ ที่หมอให้มารักษาอาการหวัดไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้ วิธีหยุดอาการไอที่ได้ผลที่สุดคือ การดื่มน้ำบ่อยๆ เพื่อลดเสมหะในทางเดินหายใจ และนอนหลับให้เพียงพอเพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้เต็มที่


       9. เท้าและข้อเท้าบวม
       
ถ้ามีอาการแบบนี้อย่าปล่อยไว้ เพราะฝ่าเท้าเป็นศูนย์รวมของเส้นประสาททั่วร่างกาย ถ้าบริเวณเท้ามีปัญหา ก็จะส่งผลถึงร่างกายทุกส่วน วิธีแก้ไขคือ ให้นั่งยองๆ ทุกวันๆ ละ 15 นาที จากนั้นก็ขยับข้อเท้าไปข้างหน้าและข้างหลัง เพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น หลังจากนั้นใช้แปรงขนนุ่มๆ แปรงผิวหนังเบาๆ โดยเริ่มจากฝ่าเท้าแล้วค่อยๆ ปัดไล่ขึ้นมาที่ข้อเท้า น่อง ต้นขา ท้อง แขนไปจนสุดที่มือทั้งสองข้าง (
ยกเว้นผู้ที่เป็นเบาหวาน เพราะเสี่ยงจะเกิดบาดแผล) ตบท้ายด้วยการอาบน้ำอุ่นแล้วตามด้วยน้ำเย็น จะช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น
      
       10. งดเครื่องดื่มคาเฟอีน
       เครื่องดื่มพวกนี้ไม่ว่าจะเป็นชาหรือกาแฟ ปกติก็ไม่ควรดื่มอยู่แล้ว แต่ถ้าบังเอิญคุณเป็นโรคปวดหลัง เครื่องดื่มพวกนี้จะเป็นศัตรูของคุณไปทันที เพราะคาเฟอีนจะไปลดการหลั่งสารเอนโดรฟิน ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยลดอาการปวดตามอวัยวะต่างๆ อาการปวดของคุณก็จะไม่หายหรืออาจจะเป็นมากขึ้นด้วย
      
       11. ดื่มน้ำเร็ว...อันตราย
       ใครๆ ก็บอกว่าควรจะดื่มน้ำให้ได้วันละ 8 แก้ว แต่ต้องค่อยๆ ดื่มไปตลอดวัน ไม่ใช่ทั้งวันไม่ดื่มเลย แล้วมารวบยอดเอาในครั้งเดียว เพราะการดื่มน้ำปริมาณมากๆ ในครั้งเดียวอาจทำให้เกิดอาการน้ำเป็นพิษ เนื่องจากเลือดเจือจาง และอาจทำให้เป็นตะคริว กล้ามเนื้อเกร็งตามมา ยิ่งถ้าอาการเกร็งไปเกิดที่สมอง หัวใจ หรือปอด ก็อาจจะทำให้ระบบหายใจล้มเหลวและเสียชีวิตได้
      
       12. แดดอ่อนตอนเช้า
       แสงแดดยามเช้าจัดว่าเป็นยาตามธรรมชาติที่ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของโดยไม่ต้องเสียเงินซื้อ นอกจากทำให้กระดูกแข็งแรงแล้ว ยังทำให้อารมณ์ดี เพราะแดดอ่อนๆ มีวิตามินที่ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุข ออกมาต่อต้านอาการซึมเศร้าในตัวเรา คนที่เดินเล่นรับแดดอ่อนจึงมีหน้าตาเบิกบานกว่าคนที่มัวแต่หลบแดดอยู่ในบ้านมาก
      
       13. เบาหวานอย่าทานไข่
       ถ้าสมาชิกในครอบครัวคุณคนไหนเป็นเบาหวาน ควรให้เขางดไข่ไปเลย เพราะมีรายงานทางการแพทย์ว่า ถ้าคนที่เป็นเบาหวานทานไข่อาทิตย์ละ 1 ฟอง จะมีโอกาสเป็นโรคหัวใจมากขึ้น


    14. อยากผอมต้องน้ำเย็น
    การดื่มน้ำเย็น 50 ออนซ์ จะช่วยเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้นวันละ 50 แคลอรี ช่วยให้น้ำหนักลดลงปีละ 2.5 กิโลกรัม เพราะเมื่อเราดื่มน้ำเย็น ร่างกายต้องใช้พลังงานในการทำให้น้ำนั้นเปลี่ยนอุณหภูมิเป็นอุณหภูมิปกติก่อน แล้วจึงนำไปใช้ได้ จึงเป็นการใช้พลังงานมากกว่าเดิม
      
       15. สุขภาพดีทันทีที่ตื่น
       
ถ้าอยากดูแลสุขภาพพร้อมกับการเริ่มต้นวันใหม่ ทันทีที่ตื่นนอนสาวๆ ควรผสมน้ำส้มสายชู (ที่หมักจากผลแอปเปิ้ล) กับน้ำผึ้งในสัดส่วนเท่ากัน ใส่น้ำอุ่นนิดหน่อย คนให้เข้ากันแล้วนำมาดื่ม จะช่วยให้การดูดซึมของระบบลำไส้และการเผาผลาญของร่างกายทำงานได้ดีตลอดวัน
      
       16. ผู้ชายอย่าพลาดมะเขือเทศ
       
สำหรับหนุ่มซ่าที่กำลังเริ่มมีอาการเตะปี๊ปไม่ดัง หรือกลัวว่าจะเป็นหมัน มะเขือเทศ คือผลไม้ที่คุณจะพลาดไม่ได้ เพราะมะเขือเทศสุกมีสารโคปีนสูงมาก ช่วยให้ต่อมลูกหมากทำงานได้ดี ประสิทธิ์ภาพและสมรรถภาพต่างๆ จึงทำงานได้เป็นปกติ ถ้าผู้ชายทานมะเขือเทศอย่างน้อยอาทิตย์ละ 10 ผล หรือมากกว่านั้น ความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก ก็จะน้อยลง 45 เปอร์เซ็นต์ ที่สำคัญควรจะทานแบบสุกๆ เช่น ทานเป็นน้ำพริกอ่อง สปาเก็ตตี้ เพราะเวลามะเขือเทศถูกความร้อนมันจะปล่อยสารไลโคปีนออกมามากขึ้น
      
       17. ป้องกันกรดในกระเพาะอาหาร
       สำหรับที่ท้องอืดบ่อย ควรลดปริมาณการดื่มน้ำผลไม้เข้มข้น อย่างเช่น มะนาว ส้ม ส้มโอ เกรฟฟรุต หรือน้ำมะเขือเทศสดนั่น เพราะน้ำพวกนี้มีกรดมากทำให้ท้องอืด หรือถ้าเสพติดไปแล้วอดไม่ได้จริงๆ ก็อาจจะทำให้เจือจางลงด้วยการผสมน้ำมากๆ
      
       18. หลบอัลไซเมอร์ด้วยเกม
       
ถ้าไม่อยากเป็นอัลไซเมอร์หรือเป็นโรคขี้หลงขี้ลืม สาวๆ ควรจะฝึกสมองด้วยการเล่นเกมที่ต้องใช้สมาธิ เช่น ปริศนาอักษรไขว้ เกมในคอมพิวเตอร์ หรืออาจจะทำกิจกรรมที่ต้องใช้สมาธิอย่างเรียนดนตรี เล่นหมากรุก เป็นต้น เพราะเกมเหล่านี้จะช่วยให้ระบบประสาททำงานเชื่อมต่อกันอย่างมีประสิทธิภาพ

  ขอบคุณบทความดีๆๆจากASTVผู้จัดการออนไลน์  คิดว่าคงเป็นประโยชน์แก่เพื่อนๆมนุษย์เงินเดือนทุกท่าน เงินหาได้ตลอดเวลาแต่ถ้าร่างกายแย่เราก็ไม่สามารถที่จะหาเงินได้ ขอให้หันกลับมารักษาสุขภาพของตัวเองด้วยนะครับ

 http://kreathapat.blogspot.com

วันอาทิตย์

สวัสดีเพื่อนที่รักทุกท่าน ห่างหายไปนานกับการเขียนเรื่องเล่าสู่กันฟังไม่ต้องซีเรียสกันมากมายเอาพอสนุกสนานคลายอารมณ์ วันนี้เอาเรื่องเล่าเกี่ยวกับกาแฟพอสังเขปมาเล่าสู่กันครับ


กาแฟ เป็นเครื่องดื่มที่ทำจากเมล็ดซึ่งได้จากต้นกาแฟ หรือมักเรียกว่า เมล็ดกาแฟ คั่ว มีการปลูกต้นกาแฟในมากกว่า 70 ประเทศทั่วโลก กาแฟเขียว (กาแฟซึ่งยังไม่ผ่านการคั่ว) เป็นหนึ่งในสินค้าทางการเกษตรซึ่งมีการซื้อขายกันมากที่สุดในโลก กาแฟมีส่วนประกอบของคาเฟอีน ทำให้มันมีสรรพคุณชูกำลังในมนุษย์ ปัจจุบัน กาแฟเป็นเครื่องดื่มซึ่งได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก
เป็นที่เชื่อกันว่าสรรพคุณชูกำลังจากเมล็ดของต้นกาแฟนั้นถูกพบเป็นครั้งแรกในเยเมน แถบอาระเบีย และทางตะวันออกเฉียงเหนือของเอธิโอเปีย และการปลูกต้นกาแฟในสมัยแรกได้แพร่ขยายในโลกอาหรับ  
 หลักฐานบันทึกว่าการดื่มกาแฟได้ปรากฏขึ้นราวกลางคริสต์ศตวรรษที่ 15 อันเป็นหลักฐานซึ่งเชื่อถือได้และเก่าแก่ที่สุด ถูกพบในวิหารซูฟี ในเยเมน แถบอาระเบีย 
จากโลกมุสลิม กาแฟได้แพร่ขยายไปยังทวีปยุโรป อินโดนีเซีย และทวีปอเมริกา  ในระหว่างที่กาแฟเริ่มเดินทางจากทวีปอเมริกาเหนือและตะวันออกกลางสู่ทวีปยุโรป กาแฟได้ถูกส่งผ่านไปยังซิซิลีและ อิตาลีใน ตอนต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 จากนั้นผ่านตุรกีไปยังกรีซ ฮังการี และออสเตรียในตอนปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17 จากอิตาลีและออสเตรีย กาแฟได้แพร่ขยายไปยังส่วนที่เหลือของทวีปยุโรป กาแฟได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในสังคมหลายแห่งตลอดประวัติศาสตร์ ในแอฟริกาและเยเมน มันถูกใช้ร่วมกับพิธีกรรมทางศาสนา ผลที่ตามมาคือ ศาสนจักรเอธิโอเปีย ได้สั่งห้ามการบริโภคกาแฟตลอดกาล จนกระทั่งถึงรัชสมัยของจักรพรรดิเมเนลิกที่ 2 มันยังได้ถูกห้ามในจักรวรรดิออตโตมันระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 17 เนื่องจากสาเหตุทางการเมือง และมีส่วนเกี่ยวพันกับกิจกรรมทางการเมืองหัวรุนแรงในทวีปยุโรป
ผลกาแฟ ซึ่งบรรจุเมล็ดกาแฟ เป็นผลผลิตจากไม้พุ่มไม่ผลัดใบขนาดเล็กในจีนัส Coffea หลายสปีชีส์ โดยสายพันธุ์ที่มีการปลูกโดยทั่วไปมากที่สุด ได้แก่ Coffea arabica และรูปแบบ "โรบัสต้า" ซึ่งมีรสเข้มกว่าของ Coffea canephora ซึ่งสายพันธุ์ดังกล่าวมีความทนทานต่อราสนิมใบกาแฟ (Hemileia vastatrix) ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวง สายพันธุ์กาแฟทั้งคู่มีการปลูกในละตินอเมริกา เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และทวีปแอฟริกา เมื่อสุกแล้ว ผลดังกล่าวจะถูกเก็บรวบรวม นำไปผ่านกรรมวิธีและทำให้แห้ง หลังจากนั้น เมล็ดจะถูกคั่วในอุณหภูมิที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับรสชาติที่ต้องการ และจะถูกบดและบ่มเพื่อผลิตกาแฟ กาแฟสามารถตระเตรียมและนำเสนอได้ในหลายวิธี
กาแฟเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญของโลก โดยในปี ค.ศ. 2004 กาแฟเป็นสินค้าการเกษตรส่งออกที่ทำรายได้เป็นอันดับหนึ่งในจำนวน 12 ประเทศ และเป็นพืชที่มีการส่งออกอย่างถูกต้องตามกฎหมายซึ่งมีมูลค่าสูงที่สุดเป็นอันดับ 7 ของโลก ในปี ค.ศ. 2005 กาแฟได้รับการโต้เถียงบางส่วนในด้านการเพาะปลูกต้นกาแฟและผลกระทบกับสิ่งแวด ล้อม และมีการศึกษาจำนวนมากที่ระบุถึงความสัมพันธ์ระหว่างการบริโภคกาแฟกับข้อ จำกัดทางยาอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม ก็ยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัดว่ากาแฟให้คุณหรือให้โทษกันแน่ 
สรรพคุณของกาแฟ
สรรพคุณของเมล็ดกาแฟ และ ประโยชน์ของเมล็ดกาแฟ
  • ทำให้ลมหายใจหอมสดชื่น สิ่งที่ต้องทำเมื่อคุณไม่มีลูกอมดับกลิ่นปาก ก็คือเอาเมล็ดกาแฟมาอมเอาไว้ชั่วครู่ ลมหายใจคุณจะมีกลิ่นสะอาดและสดชื่นอีกครั้ง
  • กำจัดกลิ่นอาหาร ถ้ามือของคุณมีกลิ่นกระเทียม ปลาหรือ กลิ่นอาหารแรงๆ เมล็ดกาแฟเล็กน้อยสามารถช่วย คุณกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้ โดยเทเมล็ดกาแฟลงบนมือและถูมือเข้าด้วยกันสักครู่ น้ำมันจากเมล็ดกาแฟจะดูดซับ กลิ่นเหม็นๆ ออกไป จากนั้นก็ล้างมือด้วยน้ำอุ่นและสบู่ให้สะอาด
  • ยัดไส้เก้าอี้ เก้าอี้แบบที่เรียกว่าบีนแบ็ก หรือเก้าอี้ทรงถุงกลมๆ ที่มักยัดไส้ด้วยเม็ดถั่ว ที่จริงแล้วเมล็ดกาแฟก็สามารถ เอามาใช้ทดแทนกันได้เช่นกัน ลองหาเมล็ดกาแฟคั่วชนิดราคาถูกที่สุดเอามาใช้ ข้อดีอีกอย่างก็คือมันจะช่วยดูดซับ กลิ่นไม่พึงประสงค์ต่างๆ ให้ห้องได้ด้วย

คำคมเกี่ยวกับกาแฟ
  • "กาแฟควรจะมีสีดำเหมือนนรก รสเข้มเหมือนความตาย และหวานเหมือนความรัก" - สุภาษิตตุรกี
  • "ผมชอบกาแฟเหมือนกับผมชอบผู้หญิง - ดำและเข้มข้น" - พอล ฮาวเวลล์
  • "กาแฟคือผู้ปลุกเราให้ตื่น กาแฟคือผู้ที่เราทำงานด้วย กาแฟคือผู้ที่เราอยู่ด้วย กาแฟคือชีวิต" - ทิม พาร์สัน
  • "เขาเป็นเหมือนครีม ฉันเป็นเหมือนกาแฟ - และเมื่อคุณเทเราทั้งสองรวมกัน มันจะกลายเป็นบางสิ่ง" - โจเซฟิน เบเกอร์
  • "ชีวิตเป็นเหมือนกาแฟถ้วยหนึ่งหลังจากกาแฟถ้วยก่อน ๆ และไม่มองไปยังสิ่งอื่นเลย" - กล่าวกันว่าเป็นหนึ่งในคำพูดสุดท้ายของเบอร์เทรนด์ รัสเซล
  • "นักคณิตศาสตร์เปลี่ยนกาแฟให้เป็นทฤษฎีบท" - พอล เออร์ดอส นักคณิตศาสตร์
  • "กาแฟทำให้นักการเมืองฉลาด/และมองเห็นทุกสิ่งผ่านดวงตาที่ปรือลงครึ่งหนึ่ง" - อเล็กซานเดอร์ โป๊ป, The Rape of the Lock
  • "การนอนหลับคืออาการของการขาดคาเฟอีน" - เฮอร์แมน ฟรีลี
  • "ผมชอบให้กาแฟของผมข้น และให้ผู้หญิงของผมจาง" - อเล็กซานเดอร์ ปาปปาส
  • "ผมเชื่อว่ามนุษย์ทำหลายสิ่งหลายอย่างได้สำเร็จ ไม่ใช่เพราะเราฉลาด แต่เป็นเพราะเรามีมือไว้ดื่มกาแฟต่างหาก" - แฟรช โรเซนเบิร์ก
  • "กาแฟที่ไร้คาเฟอีนเหมือนกับการที่คุณจูบน้องสาวนั่นแหละ" - บ็อบ ไอร์วิน
  • "ถ้านี่คือกาแฟ โปรดนำชามาให้ผม ถ้านี่คือชา โปรดนำกาแฟมาให้ผม" - (คาดว่า) อับราฮัม ลินคอร์น
  • "มีเพียงกาแฟไอริชเท่านั้นที่ให้อาหารแก่เราสี่หมู่: แอลกอฮอล์ คาเฟอีน น้ำตาลและไขมัน" - อเล็กซ์ เลไวน์
  • "คุณจะได้กาแฟทุกรสชาติยกเว้นกาแฟรสกาแฟ" - เดนนิส แลรรี่
  • "มีสีดำกว่าคืนเดือนมืด ร้อนกว่าและรสขมกว่านรก นั่นคือกาแฟ" - Godot
       เป็นอย่างไรบ้างครับประวัติดั้งเดิมของกาแฟที่เราดื่มกันทุกวัน ก็ขอขอบคุณข้อมูลทั้งหลายจากสารานุกรมไทยครับ

 http://kreathapat.blogspot.com
This article is about the beverage, which comes in many forms. For the seed from which it is made, see Coffee bean. For other uses, see Coffee (disambiguation).

 Coffee is a brewed beverage with a bitter flavor prepared from the roasted seeds of the coffee plant. The beans are found in coffee cherries, which grow on trees cultivated in over 70 countries, primarily in equatorial Latin America, Southeast Asia, South Asia and Africa. Green (unroasted) coffee is one of the most traded agricultural commodities in the world. Coffee can have a stimulating effect on humans due to its caffeine content. It is one of the most-consumed beverages in the world.
Wild coffee's energizing effect was likely first discovered in the northeast region of Ethiopia. Coffee cultivation first took place in southern Arabia; the earliest credible evidence of coffee drinking appears in the middle of the 15th century in the Sufi shrines of Yemen. From the Muslim world, coffee consumption and cultivation spread to India, to Italy, and on to the rest of Europe, Indonesia and the Americas.
In East Africa and Yemen, coffee was used in native religious ceremonies that competed with the Christian Church. As a result, the Ethiopian Church banned its secular consumption until the reign of Emperor Menelik II of Ethiopia.The beverage was also banned in Ottoman Turkey during the 17th century for political reasonsand was associated with rebellious political activities in Europe.
Coffee berries, which contain the coffee seeds or "beans", are produced by several species of small evergreen bush of the genus Coffea. The two most commonly grown are the highly regarded Coffea arabica, and the "robusta" form of the hardier Coffea canephora. The latter is resistant to the devastating coffee leaf rust (Hemileia vastatrix). Once ripe, coffee berries are picked, processed, and dried. The seeds are then roasted to varying degrees, depending on the desired flavor. They are then ground and brewed to create coffee. Coffee can be prepared and presented in a variety of ways.
An important export commodity, coffee was the top agricultural export for twelve countries in 2004,and it was the world's seventh-largest legal agricultural export by value in 2005.Some controversy is associated with coffee cultivation and its impact on the environment. Consequently, organic coffee is an expanding market.
Many studies have examined the health effects of coffee, and whether the overall effects of coffee consumption are positive or negative has been widely disputed.The method of brewing coffee has been found to be important to its health effects. For instance, preparing coffee in a French press leaves more oils in the drink compared with coffee prepared with paper coffee filter. This might raise the drinker's level of "bad cholesterol."

Coffee is often consumed alongside (or instead of) breakfast by many at home. It is often served at the end of a meal, normally with a dessert, and at times with an after-dinner mint especially when consumed at a restaurant or dinner party.
Aggressively promoted by the Pan-American Coffee Bureau, the "coffee break" was first promoted in 1952. Hitherto unknown in the workplace, its uptake was facilitated by the recent popularity of both instant coffee and vending machines, and has become an institution of the American workplace